บวบหอม เช่นเดียวกับบวบเหลี่ยม เราใช้ผลบริโภคเป็นผัก โดยทั่วไปจะทำให้สุกก่อนรับประทานด้วยการต้ม ผัด ชอบขึ้นในที่อากาศร้อน เป็นพืชอายุปีเดียว ผลของบวบหอมที่แก่แล้ว มีเส้นใยนำมาใช้ประโยชน์ในการถูตัว ล้างถ้วยชามและสามารถนำมาใช้กรองน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นที่สนใจในหลายประเทศ เมล็ดของบวบหอมนำมาสกัดน้ำมันใช้ในการปรุงอาหารได้ ลำต้นเป็นเถาเลื้อย สีของลำต้นเขียวเข้มกว่าบวบเหลี่ยม ใบก็มีสีเขียวเข้มกว่า ใบหนาและหยาบกว่า แต่ขนาดเล็กกว่าบวบเหลี่ยม แต่มีดอกตัวผู้แยกกับดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน เช่นเดียวกับบวบเหลี่ยม เมล็ดของบวบหอม ผิวเรียบและขอบๆเมล็ดนั้นเปลือกเมล็ดจะมีรูปร่างคล้ายปีกโดยรอบเมล็ด
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต เช่นเดียวกับบวบเหลี่ยม บวบหอมขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ต้องการความชื้นในดินสูงสม่ำเสมอ ตลอดฤดูปลูกต้องการแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 20 องศาเซลเซียส
การเตรียมดินและการปลูก เช่นเดียวกับบวบเหลี่ยมยกร่อง และแต่ละร่องปลูก 2 แถว ระยะปลูก 75 – 100 ซม. หยอดเมล็ด 3 – 5 เมล็ด และถอนทิ้งให้เหลือ 2 ต้นต่อหลุม และปักค้างเช่นเดียวกับบวบเหลี่ยม จำนวนเมล็ด 2 – 4 ลิตร เพียงพอสำหรับการปลูกในแปลงปลูกพื้นที่ 1 ไร่
การดูแลรักษา
การให้น้ำ ให้น้ำให้เพียงพอสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงออกดอกและติดผล
การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ย N : P : X ในสัดส่วน 1 : 1 : 1.5 – 2 และควรให้ปุ๋ยไนโตรเจนเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก แต่ต้องระวังอย่าให้มากเกินไป บวบจะแตกใบมาก ให้ผลน้อย เรียกว่าอาการเฝือใบ ปุ๋ยในโตรเจนควรให้เมื่องอกแล้ว 1 สัปดาห์ ส่วนปุ๋ยสูตรผสม ควรให้เป็นปุ๋ยรองพื้นครึ่งหนึ่งและให้เมื่อบวบอายุ 20 – 30 วัน
การพรวนดินและการกำจัดวัชพืช ควรปฏิบัติเมื่ออายุในภาวะที่บวบเริ่มเลื้อย
โรคและแมลง โรคและแมลงเป็นชนิดเดียวที่รบกวนบวบเหลี่ยม
การเก็บเกี่ยว อายุการเก็บเกี่ยวเพื่อรับประทานสด ประมาณ 50 – 60 วัน หลังจากหยอดเมล็ด จะเก็บผลขณะที่ผลยังอ่อนอยู่ บวบหอมนี้กสิกรมักเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง ในกรณีที่เก็บเมล็ดเอง ทิ้งบวบไว้ให้แก่แล้วจึงเก็บมาแคะเมล็ด ถ้าจะใช้เส้นใยควรทิ้งบวบไว้ให้แห้งติดต้น เฉลี่ยผลผลิตของบวบสดได้ 1,000 กก./ไร่ ผลผลิตจะให้ดีถ้าปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากบวบหอมมีผิวของผลเรียบ ไม่มีเหลี่ยม ดังนั้นจึงให้เนื้อมากกว่าบวบเหลี่ยม
ข้อมูล plookphak.com